ufabet ทีเด็ด บอล วันนี้ ราคา บอล

Trust the Process…บนความพ่ายแพ้แสนอัปยศ

ความพ่ายแพ้ในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอาร์เซนอล ทำให้สถานการณ์ของ อาร์เซยนอล จมอยู่ในอันดับที่ 20 ของตารางแข่งขัน

 

แพ้ 3 เกมติดต่อกัน ยิงได้ 0 เสีย 9 ประตู บนโอกาสยิงรวมกันจากทั้งสามเกมจำนวนทั้งสิ้น 29 ครั้ง (เบรนท์ฟอร์ด 22 / เชลซี 6 และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1)

 

     “Trust the process” (จงเชื่อมั่นในระบบ) เป็นหนึ่งในคำที่โดนหยิบยกขึ้นมามากมายเมื่อวานนี้ เมซุต เออซิล เลือกคำนี้ออกมากล่าวถึงพร้อมภาพหัวใจที่แตกสลาย หลังการเป็นทีมที่ตัวเองเล่นมา 8 ปี ทำผลงานดั่งทีมระดับลีกล่าง เจอกับ แชมป์พรีเมียร์ ลีก

 

     มิเคล อาร์เตต้า เลือกระบบ 5-4-1 เป็น 5 กองหลังแบบเต็มตัว ไม่ใช่การเล่นแบบวิงแบค เลือกกองกลาง 4 คน ทิ้งหน้าเป้าไว้เพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าเกมนี้ ทีมต้องการเกมรับที่แน่นหนา และรอลุ้นการเล่นสวนกลับลุ้นประตู

 

     แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ปัญหาเดิม ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ทำให้มันเป็นแบบนั้นเลย กลายเป็นภาพมโนที่ไม่เกิดขึ้นจริง ความผิดพลาดส่วนตัวของ นักเตะ ทำร้ายทีมอีกครั้ง ทำร้ายแบบที่ Process ของทีมก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นได้เลย

 

ย่อยออกมาเฉพาะจังหวะสำคัญเพื่อให้เห็นภาพกันง่ายขึ้นในเกมนี้ แค่ 45 นาทีแรกก็เห็นภาพแล้ว

ความผิดพลาดส่วนตัวของ นักเตะ ทำเกมนี้พัง

     7 นาทีแรกของเกม “Personal Error” คาลัม แชมเบอร์ส หนึ่งในนักเตะที่ได้รับโอกาสจาก มิเคล อาร์เตต้า มากที่สุดคนหนึ่ง กะจังหวะบอลพลาด โดดโหม่งเร็วกว่าที่บอลจะมาถึง กลายเป็นถวายจังหวะให้ อิลคาย กุนโดแกน โหม่งเหน่ง ๆ ไม่มีเหลือ

 

    12 นาทีแรกของเกม “Personal Error” เซดริก โซอาเรส สกัดบอลไม่ขาดกลายเป็นเพื่อนเสียจังหวะไปด้วย บอลเข้าทาง เฟร์ราน ตอร์เรส ในระยะ 6 หลาไม่มีพลาด จะบอกว่าแบ็คโปรตุเกสดวงแตกก็ใช่ แต่มันก็พลาดจริง

 

     35 นาทีแรกของเกม “Personal Error” กรานิท ชาก้า ซึ่งไม่รู้หงุดหงิดจากตลอดเกมที่ผ่านมา หรืออะไร แต่เลือกกระโดดพุ่งเสียบใส่ เจา กันเซโล่ แม้จะไม่โดนคู่แข่งแบบเต็มตัว แต่เข้าบอลแบบนี้กรรมการก็พร้อมให้ใบแดง แบบไม่ต้องเถียง คิดง่าย ๆ ถ้าโดนข้อเท้า กันเซโล่ เต็ม ๆ เขามีสิทธิ์เจ็บหนักได้เลย เจตนาทำร้ายอาจไม่มี แต่วิธีการเล่นอันตรายเกินไป

 

     45 นาทีแรกของเกม “Process & Personal Error” นักเตะเกมรับอย่างน้อย 3 คนปล่อยให้ แจ็ค กรีลิช แหวกเข้ามาในเขตโทษ ก่อนไม่ทำอะไรนอกจากยืนขวางเอาไว้ และก็โดนนักเตะค่าตัว 100 ล้านปอนด์ ผ่านให้กับ กาเบรียล เฆซุส ยิงจ่อ ๆ อีกครั้ง

 

จบครึ่งแรกตามหลัง 3-0 ความผิดพลาดส่วนตัวของ นักเตะ ทำเกมนี้พัง ส่วน “Process” ที่บอกให้แฟนบอลเชื่อมั่น ถูกขยี้ด้วยการเล่นเกมรับมากกว่า 90 %

 

     ครึ่งหลังเปลี่ยน นักเตะ คนแรก อาร์เตต้า เลือกเล่นเกมรับต่อไป ถอดปีกอย่าง บูคาโย่ ซาก้า ออกส่ง โมฮัมเหม็ด เอลเนนี่ ลงไปแทน เล่นระบบเดิม 5-1-2-1 เอลเนนี่ เล่นเหมือนตัวรับ  กลางเกมเลือกเปลี่ยน ลากาแซตต์ ลงมาแทน โอบาเมยอง “เปลี่ยนกองหน้า แทน กองหน้า” และสุดท้าย เปลี่ยน เมดแลนด์-ไนลส์ แทนที่ เออเดการ์ด (กลางรับแทนกลางรุก) มันก็บ่งบอกแล้วว่า อาร์เตต้า ขอให้โดนน้อยที่สุด มากกว่าขอให้ได้สักประตู

 

จบเกม 90 นาที

 

  • อาร์เซนอลแพ้ 5-0
  • โอกาสยิง 1 ครั้ง
  • ครองบอล ต่ำกว่า 20 % (19 %)
  • ส่งบอลน้อยกว่า 200 ครั้ง (185 ครั้ง เฉลี่ยต่อนาทีส่งบอลประมาณ 2 ครั้ง)
  • อันดับที่ 20 ของตารางก่อนพักเบรกทีมชาติ

“Personal Error”

     “Personal Error” ของนักเตะที่ก่อความผิดพลาดไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร มาตั้งแต่เกมอุ่นเครื่องจนถึงวันนี้ ยังคงมีต่อไปเรื่อย ๆ และทุกเกมต่อจากนี้จะมีอีกแน่

 

     “Process” ที่ อาร์เตต้า บอกให้เราเชื่อมั่น…จะเอาอะไรมาเชื่อมั่นในเมื่อผลงานที่ออกมามันเป็นแบบนี้ ในวันที่ทีมมีความผิดพลาดส่วนตัว “ระบบการเล่นของทีม” จะมีส่วนอย่างยิ่งในการทำให้ทีมเอาตัวรอดไปได้ ไม่ต้องมองไกล เชลซี เหลือ 10 คน 45 นาทีเต็มในเกมที่ แอนฟิลด์ กับ ลิเวอร์พูล แต่พวกเขากลับออกมาพร้อมหนึ่งคะแนน

 

     เมื่อผลงานออกมาแบบนี้ สิ่งที่เราคาดหวังกับคนเป็นผู้จัดการทีมคือการ “ขอโทษ”แฟนบอลกับผลงานอัปยศที่ออกมา ไม่ใช่คำว่า “ขอบคุณ” แฟนบอลที่ตามมา “ช้ำ”ถึงแมนเชสเตอร์ ในบทสัมภาษณ์ที่ออกมา ไม่มีการพูดขอโทษแฟนบอลสักคำ หรือกระทั่งยอมรับว่าตัวเองวางแผนผิดพลาด มีแต่บอกว่า ตัวเองผิดหวัง…จังหวะเสียประตูมีเหตุต้องเสียประตู แพ้เยอะเพราะเหลือ 10 คน ไหนล่ะ Process ที่คุณบอกให้แฟนบอลรอคอยว่ามันจะดี เกมนี้ แม้กระทั่งช่วงที่ 11 : 11 เท่ากัน ทำไมถึงออกมาแบบนี้

 

     “ผมไม่คิดว่าวันนี้ จะเป็นวันที่พูดถึงเรื่องของ Process ใด ๆ วันนี้เราจะคุยเกี่ยวกับผลการแข่งขัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามเท่านั้น” มิเคล อาร์เตต้า กล่าวหลังเกม งั้นเรามาดู “Fact” จากสิ่งที่เห็นกัน

 

     ภาพของแฟนบอลเดินออกตั้งแต่ 35 นาทีแรก หลังการโดนใบแดงของ ชาก้า ภาพของแฟนบอลอาร์เซนอล เฮลั่นหลังจากเสียประตูที่ 4 มันก็ชัดเจนมากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้วว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับทีม แล้ว อาร์เตต้า ยังกล้าไปสัมภาษณ์ขอบคุณพวกเขา แทนที่ในสถานการณ์แบบนั้น ควรไปหาต่อหน้าแฟนบอล ลากนักเตะทุกคนในทีมไปขอโทษแฟนบอลเสียด้วยซ้ำ เพราะวันนี้ผลงานมันแย่เหลือเกิน

 

     นักเตะหลายคนถอดใจตั้งแต่ยังไม่จบเกม เล่นกันไปงั้น ๆ รอให้เวลาหมด อยากเดินเข้าห้องแต่งตัวแล้ว อับอายกับผลงานตัวเอง ในขณะที่ นักเตะ หลายคนทำเพียงปรบมือให้แฟนบอลแล้วเดินกลับเข้าไป แต่สุดสัปดาห์ เงินหลายหมื่น หลายแสนปอนด์ เข้าบัญชีเดิมเหมือนเดิม ทุกอย่างจบ

 

     อาร์เตต้า เลือกกองหลังแทนที่ของ เบน ไวท์ และ กาเบรียล มากัญเยส ที่บาดเจ็บ ด้วยการใช้งาน เซอัด โคลาซินัค ที่มีข่าวย้ายออกจากทีมตลอดเวลาพร้อมย้ายได้ทันที แทนที่จะเลือกใช้ ปาโบล มารี กองหลังสเปนที่เขาเลือกเข้าทีมด้วยตนเอง ลองคิดแทน ปาโบล มารี จะรู้สึกอย่างไร นี่เราห่วยขนาดที่โค้ชเลือกคนจะย้ายออกรอมร่อ แทนที่ตนเองในเกมแบบนี้ เลือกคนที่เล่นแบ็คซ้ายมากกว่ากองหลังตัวกลาง มาเล่นแทนตนเองที่เล่นกองหลังตัวกลางมาตลอด

 

     รูปแบบการเล่นของทีมที่สับสนวุ่นวายไปหมด ตั้งแต่ต้นเกมจนถึงนาทีที่ 35 จากสับสนกลายเป็นเละเทะ จนจบเกม เราไม่เห็นการเล่นอะไรที่จะบ่งชี้ว่า เป็นแนวทางการเล่นของทีมเลยในสถานการณ์คับขัน หรือกระทั่งความใจสู้ของผู้เล่นก็น้อยเสียเหลือเกิน การกระตุ้นของผู้เล่นมีไหม นอกจากนั่งข้างสนามคุยกับ อัลเบิร์ต สตูเวนเบิร์ก ผู้ช่วยของเขา

 

     การเล่น “เกมรับ” สมควรแล้วที่ต้องโดนวิจารณ์อย่างหนัก นักเตะ ที่ลงไปเล่นอยู่กับทีมมานานเกิน 1 ปีทุกคน แต่คุณภาพที่ออกมาเน่าเฟะ “เกมรุก” ไม่ต้องพูดถึง เพราะทั้งเกม โอบาเมยอง หรือ ลากาแซตต์ ตัวสำรอง แทบไม่ได้บอลเลย เพราะถูกซิตี้ขยี้จมดินในแดนตนเอง

 

     การซื้อขายในตลาดรอบนี้ อาร์เซนอล จัดเป็นหนึ่งในสโมสรที่ลงทุนมากที่สุดของลีก แต่ 5 นักเตะที่ได้มาในหน้าร้อนนี้ 4 คนไม่ได้อยู่ในสนามแม้แต่นาทีเดียว มีเพียง มาร์ติน เออเดการ์ด ที่ลงเล่น 71 นาที นอกนั้นทั้ง นูโน่ ตาวาเรส, แซมบี้ โลกอนก้า และ อารอน แรมสเดล นั่งข้างสนาม ส่วน เบน ไวท์ ติดโควิด-19

 

     Process ที่ อาร์เตต้า ต้องการอยากได้กองกลางตัวรุกที่สร้างสรรค์เกมจึงเลือก มาร์ติน เออเดการ์ด มาร่วมงานด้วย แถมวันนี้เลือกใช้งานร่วมกับ เอมิล สมิธ โรว์ กองกลางตัวรุกอีกคนของทีม แต่ทำไมทีมออกมาสร้างสรรค์โอกาสได้ 1 ครั้ง ตลอด 90 นาที หรืออย่างน้อย 35 นาทีก่อนเหลือ 10 คน ทำไมทำได้แค่นี้

“มั่นใจตัวเอง” กับ “โกหกตัวเอง”

เราพูดถึง “Fact” และผลงานในสนามล้วน ๆ เลยนะ อาร์เตต้า ตอบเราหน่อยได้ไหม มันเกิดอะไรขึ้นกับทีม

 

     “ผมคิดว่าเราต้องคุยกันในกลุ่มผู้เล่น สำคัญมากกับทีม เราคือ อาร์เซนอล เราจำเป็นต้องการความภูมิใจในความเป็นอาร์เซนอลของเรา พูดความจริงของแต่ละคนออกมาอย่างซื่อสัตย์ เราต้องยกระดับตัวเองให้ได้” ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง… นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มี นักเตะ ออกมาพูดแบบนี้ แล้วอย่างไร ผลงานก็ไม่ต่างจากเดิม ที่ผ่านมาพวกคุณเต็มที่กับงานของพวกคุณจริงหรือเปล่า แล้วภาพที่เห็นเดินกันสนามแบบไม่อยากเล่นคืออะไร พวกคุณจะไปคุยกันจริง ๆ หรือจะตั้งวงรวมหัวเล่นไล่โค้ช ตอนนี้แฟนบอลเป็นล้าน ๆ คนคิดกันไปเรื่อย เพราะเกมนี้พวกคุณทำให้พวกเขาคิดไปในทิศทางแบบนั้น “การกระทำชัดเจนกว่าคำพูด” โอบาเมยอง คงเข้าใจอยู่แล้ว แฟนบอลก็รอ “การกระทำที่ตรงกับคำพูด” เช่นกัน

 

     “มั่นใจตัวเอง” กับ “โกหกตัวเอง” มันเป็นเส้นความรู้สึกบาง ๆ ที่มุมมองที่เห็นต่างกัน อาจทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล อาร์เตต้า ผู้ซึ่งบอกว่าตนเองโทษตนเอง รับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว เมื่อทีมพ่ายแพ้ แต่อย่างแรกที่ต้องทำคือ “ยอมรับ” ก่อนว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง “ศักยภาพตนเอง” หรือ “ปัจจัยภายนอก” ถ้ายังมองไม่เห็นถึงตรงนี้ ไม่มีทางรอดจากปัญหานี้ไปได้

 

     “ผู้ช่วยเป็นโค้ชที่ดีไม่ได้” เป็นคำพูดที่ส่วนตัวไม่เคยเห็นด้วยเลย ฮันซี่ ฟลิกซ์ แหกวลีนี้เป็นริ้ว ๆ กับการสร้างบาเยิร์น มิวนิค ด้วยการคว้า 6 แชมป์ในฤดูกาลเดียว แต่เช่นเดียวกันกว่าจะมี ฟลิกซ์ ยอดกุนซือ เขาผ่านประสบการณ์ในการเป็นผู้ช่วยมาอย่างโชกโชน มีทีมที่นักเตะให้ความเชื่อมั่น คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทุกอย่างลงตัว

 

     “นักเตะเก่งเป็นโค้ชไม่เก่ง” ซีเนอดีน ซีดาน, อันโตนิโอ คอนเต้ หรือว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ทำให้เห็นแล้วว่า พวกเขาทำได้สุดยอดแค่ไหน ผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์ในรอบ 10 ปีหลังสุดของลีกยุโรป ต้องมีชื่อของพวกเขาอยู่ในนั้นด้วย บางคนไปเริ่มต้นกับทีมเล็กลองผิดลองถูกจนกลายมาเป็นยอดโค้ช (คอนเต้) บางคนอยู่กับทีมมายาวนานเข้าใจระบบทีม และเริ่มต้นจากงานของทีมสำรองของสโมสร (ซีดาน และ กวาร์ดิโอล่า) แต่ไม่ใช่กับ อาร์เตต้า ผู้ซึ่งอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามปีในฐานะผู้ช่วย และย้ายมารับงานใหญ่กับ อาร์เซนอล ทันที

 

     เขาอาจเป็นนักเตะของสโมสรอาร์เซนอลมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้ขึ้นชั้นว่าเป็น “ตำนาน” สโมสรอย่างไร เขาเป็นนักเตะที่ดีคนหนึ่งของทีม แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ ประสบการณ์ของเขาทั้งในเรื่องการคุมทีม และบริหารจัดการคนอาจยังไม่มากพอสำหรับอาร์เซนอล แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากวันหนึ่งมีข้อเสนอจาก อาร์เซนอล เข้ามาต่อให้คุณอายุงานน้อยกว่านี้ มันเป็นงานที่น่าสนใจ เพราะนี่คือ “โอกาสใหญ่” ที่อาจจะวนมาเพียงครั้งเดียวในชีวิต ถึงพลาดก็ได้ชื่อว่าได้เคยลองมาแล้ว

 

     โค้ชหลายคน เคยก้าวมาถึงจุดเดียวกับ อาร์เตต้า ณ เวลานี้ และจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความสามารถ เดวิด มอยส์ ณ วันนี้กับ เวสต์แฮม ผลงานยอดเยี่ยมแต่กว่าจะถึงตรงนี้เขาเสียศูนย์ไปหลายปีหลังออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เช่นเดียวกับ แบรนเดน ร็อดเจอร์ส ที่พลาดกับลิเวอร์พูลและไปสร้างเสริมประสบการณ์กับ กลาสโกว์ เซลติก ก่อนมามีวันนี้กับ เลสเตอร์ ก็เป็นสองตัวอย่างที่เห็นกันถึงความล้มเหลวคือหนึ่งในบทเรียนของการเติบโต

 

“Trust the Process” ก็เหมือนคำพูดชวนเชื่อ

 

เหมือนการหาเสียงเลือกตั้งที่มักจะมีเรื่องราวที่สวยหรูรออยู่ แต่จะเป็นจริงหรือเปล่าไม่มีใครบอกได้ จนกว่าจะได้ลองทำ

 

     เหมือนการจ้างงานพนักงานสักคนเข้าทำงาน คุณไม่มีวันรู้ว่า พนักงานคนนี้จะเก่งกับที่ทำงานของเรา แบบที่ในประวัติการทำงานบ่งบอกไว้หรือไม่ นอกจากการให้โอกาสในการทำงาน

 

     คำถามคือ โอกาสลองทำ จะมากหรือน้อย ขึ้นกับบริบทของการทำงาน สำหรับโค้ชสโมสรฟุตบอล มันไม่มีสูตรตายตัวแบบการเลือกตั้งที่มีระยะการทำงานที่แน่ชัด ไม่เหมือนพนักงานประจำที่มีการ “ทดลองงาน” 4 เดือน สิ่งที่จะบ่งบอกว่า ดีหรือไม่ดี ดูกันที่ “ฟอร์มการเล่น” และ “ผลการแข่งขัน” เท่านั้น

 

     กับ อาร์เตต้า ถึงตรงนี้ บอร์ดบริหาร อาร์เซนอลต้องเป็นผู้เลือกแล้วล่ะว่าจะยังคง “Trust the Process” ที่เขาและทีมงานขายฝันให้พวกเขาต่อไปหรือไม่ เพราะงานนี้ เดิมพันถึงอนาคตในฤดูกาลนี้ของสโมสรที่จะส่งผลต่อความสำเร็จและการเงินของสโมสรโดยตรง

 

     เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วกับตลาดการซื้อขายรอบนี้ เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงยังคงมีอยู่ “Trust” หรือ “Change” ต้องเลือกสักทางแล้วจงรอรับกับผลที่ตามมา…ไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม

Ads ทีเด็ด บอล เต็ง วันนี้ ฟุตบอล วันนี้