ufabet ทีเด็ด บอล วันนี้ ราคา บอล

วันนี้ของ “มิเคล อาร์เตต้า”

     ในวาระครบรอบ 3 ปีของการทำงานเป็นผู้จัดการทีมของ มิเคล อาร์เตต้า (40 ปี สัญญาถึงกลางปี 2025) สกายสปอร์ต นำโดย เจมี่ คาร์ราเกอร์ ชิงเชิญเขามาที่ออฟฟิศของสกายสปอร์ต เพื่อมาพูดคุยกับหลายเรื่องราวของเขาที่น่าสนใจ โดยการสัมภาษณ์นี้จะมีสองส่วนด้วยกัน และนี่คือส่วนแรกของเรื่องราว ซึ่งผู้เขียน แปลออกมาบางส่วน

 

     อาร์เซนอล กำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น”ที่สุดในรอบหลายฤดูกาล พวกเขาเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ ลีก ที่นำห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5 คะแนน ก่อนที่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะมาถึง และพวกเขากำลังจะกลับมาลงเล่นในช่วงวันบ๊อกซิ่ง เดย์ ที่จะถึงนี้ พร้อมกับเป้าหมายที่ยังคงเด่นชัดกับการกลับสู่พื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้เป็นอย่างน้อย

 

     จากเด็กหนุ่มที่เกิดใน ซาน เซบาสเตียน อาร์เตต้ามีความฝันที่จะลงเล่นกับ เรอัล โซเซียดาด ทีมในถิ่นเกิดของตนเอง แต่สุดท้ายโชคชะตาทำให้เขาต้องออกจากทีม แยกทางกับ ชาบี อลอนโซ่ หนึ่งในเพื่อนสนิทของตนเอง กับการย้ายไปพัฒนาตนเองกับ “ลา มาเซีย” ของบาร์เซโลน่า ขณะที่ ชาบี เติบโตขึ้นในฐานะของนักเตะ เรอัล​ โซเซียดัด ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามเส้นทางอาชีพของ อาร์เตต้า ไม่เคยขึ้นถึงทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่า เขาย้ายไปเล่นกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ก่อนจะได้กลับมาเล่นให้ เรอัล โซเซียดาด สมปรารถนาเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนย้ายมาร่วมงานกับ เอฟเวอร์ตัน ตามด้วยอาร์เซนอล ซึ่งสองสโมสรในอังกฤษ เขาใช้เวลารวมแล้วประมาณ 11 ปี กับการใช้ชีวิตบนเวทีพรีเมียร์ ลีก ก่อนจะเลิกเล่นในปี 2016

 

     อย่างไรก็ตามมาถึงวันนี้ มิเคล อาร์เตต้า กำลังกลายเป็นโค้ชหนุ่มผลงานดีที่เบื้องหลังของตนเองคือการเตรียมตัว และค้นพบเส้นทางนี้ตั้งแต่ยังคงลงเล่นฟุตบอลอาชีพ ผ่านการสัมภาษณ์ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้แปลตรงตัวทุกคำพูด แต่เป็นการถอดความและเรียบเรียงใหม่บางส่วนเพื่อให้ข้อมูลมีความราบรื่น

อายุ 26-27 ปี ผมเริ่มรู้สึกสนใจในงานนี้ และเริ่มที่จะศึกษาให้มากขึ้น

     “ผมคิดว่าตอนอายุ 26-27 ปี ผมเริ่มรู้สึกสนใจในงานนี้ และเริ่มที่จะศึกษาให้มากขึ้น ในฐานะของผู้เล่นเราลงเล่นเต็มที่ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันคาดเดาไม่ได้ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากทำให้ดีกว่านี้ และนั่นทำให้ผมตัดสินใจว่าผมต้องเรียนรู้งานด้านโค้ช และผมก็เริ่มต้นทำมันตอนที่ผมลงเล่นกับอาร์เซนอล ซึ่งอาร์แซน เวนเกอร์ เป็นคนที่สนับสนุนผมอย่างมาก ผมก็ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองมาแบบเป็นขั้นตอน”

 

     คาร์ราเกอร์ ถามคำถามหนึ่งที่น่าสนใจมาก และผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนก็คงอยากรู้ การที่คุณทำงานอะไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณอยากจะเป็นคนสอนสิ่งนั้น เราเป็นนักเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่านักเรียนทุกคนอยากเป็นครู เช่นเดียวกันจาก นักเตะอาชีพ สู่การเป็นโค้ช ต้องผ่านมาก่อนทั้งการเป็นนักเตะดาวรุ่ง สู่ ดาวเตะรุ่นใหญ่ และกลายมาเป็นโค้ชในเวลาต่อมา ในช่วงเวลาของการเป็นนักเตะรุ่นใหญ่ อาร์เตต้า คิดอย่างไรเกี่ยวกับการเล่นในสนามหรือเปล่าว่าต้องเล่นแบบไหน หรือทำตามสั่งเมื่อลงสนาม

 

     “ผมคิดว่าในการเป็นนักเตะอาชีพคุณต้องเคารพในแง่มุม และแนวคิดของผู้จัดการทีม แต่เราสามารถเสนอความคิดเห็นของเราไปยังเขาได้ ว่าคุณคิดเห็นอย่างไรที่จะทำให้ทีมได้ตามเป้าหมาย โค้ชทุกคนมักเปิดโอกาสในส่วนนี้ให้กับผู้เล่นในเรื่องนี้ ซึ่งผมก็โชคดีที่ผู้จัดการทีมที่ได้ทำงานร่วมกัน พยายามและต้องการให้ผมได้มีโอกาสแบบนั้น เช่นเดียวกับที่ผู้จัดการทีมก็มองเราและพยายามให้เราได้ทำอะไรใหม่ๆ เดวิด มอยส์ (ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน ผู้จัดการทีมคนแรกของอาร์เตต้าในพรีเมียร์ ลีก) เคยขอให้ผมทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งสุดท้ายแล้วผมทำตามที่เขาสอนและผมกลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้น ผู้เล่นจำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับการอยากจะพัฒนาตนเองเสมอ ผมย้ายมาเล่นในอังกฤษ มันคือการย้ายประเทศ ต่างภาษา ต้องมาเล่นในตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคย และมันคือความท้าทาย แต่ในแง่ของการทำทีม ทีมมีอะไรในมือก็ต้องจัดการให้ดีที่สุด เค้นศักยภาพของผู้เล่นให้มากที่สุด มันอาจไม่ใช่สถานการณ์ที่อยากได้ หรือตามที่คิดแต่ต้องทำเพื่อพยายามให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น”

ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 34 ปี

     อาร์เตต้า ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 34 ปี อาร์เซนอล คือสโมสรสุดท้ายของเขา และเขาเลือกจะเข้าสู่ระบบงานโค้ชทันที เขาเข้าร่วมสตาฟฟ์ทีมเยาวชนของสโมสร และมีการเรียนใบอนุญาตการทำงานโค้ชกับสมาคมฟุตบอลทีมชาติเวลส์ อย่างไรก็ตามสุดท้ายในช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังการเลิกเล่น เขาก็กลายเป็นทีมงานของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้คนใหม่ และทำงานร่วมกันนานถึงสามปีก่อนจะย้ายมาทำงานที่อาร์เซนอล

 

     “ตอนผมอายุ 30 ปี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โทรมาหาผมเขาบอกว่า เขาอาจมาทำงานในอังกฤษ ถ้าเป็นแบบนั้นผมสนใจจะไปทำงานเป็นผู้ช่วยเขาไหม ตอนนั้นผมยังลงเล่นอยู่เลย ดังนั้นมันเร็วเกินไป แต่มันก็จุดประกายให้กับผมว่าหลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพผมจะทำอะไรต่อ ผมต้องการทำงานด้านโค้ช”

 

     “ความสัมพันธ์ของผมกับเขา (เป๊ป) เราพบกันครั้งแรกตั้งแต่ผมอายุ 15 ปี ที่บาร์เซโลน่า เขาเป็นหนึ่งในไอดอลของผม ผมพยายามที่จะเป็นเหมือนเขาถ้าผมต้องการขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่า หลังจากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมา มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกหน่อยตรงที่ตอนผมยังลงเล่นฟุตบอลอาชีพ เขาก็เริ่มการเป็นโค้ชไปแล้วที่บาร์เซโลน่าตามด้วยบาเยิร์น มิวนิค แต่เขากลับโทรมาหาผมเกี่ยวกับสโมสรในอังกฤษ และเกมการเล่นเป็นอย่างไร เราคุยเรื่องมาจนวันหนึ่งมันก็ชัดเจนเมื่อเขาบอกว่า เขามีความฝันที่จะทำในสิ่งที่เขาได้ทำกับบาร์เซโลน่าให้เกิดขึ้นในพรีเมียร์ ลีก ที่ทุกคนบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกเขาอยากได้ผมไปช่วยเหลือและสนับสนุนเขา ประสบการณ์ของผมสามารถช่วยเหลือให้เขาประสบความสำเร็จได้ตามความฝันนั้น”

 

     “มันเป็นการตัดสินใจที่ยากในการออกจากอาร์เซนอล ผมค่อนข้างผูกพันกับทีม ผมมองเห็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง เติมเต็มและช่วยเหลือทีมได้ แต่อย่างที่บอกผมมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับเป๊ป และผมอยากเอาชนะความกลัวของตัวเอง เพราะผมอยากทำงานโค้ช แต่ผมไม่เคยสอนใครแบบจริงจังมาก่อนเลย ดังนั้นผมจะไปสอนอะไรให้กับนักเตะที่ดีที่สุดในโลก และพวกเขาต้องได้อะไรในสิ่งที่พวกเขาคาดหวังได้ด้วย มันเป็นอะไรที่โน้มน้าวใจผมอย่างมาก และสุดท้ายผมก็เลือกไปที่นั่น”

 

     “เป๊ปค่อนข้างสนับสนุนผมเป็นอย่างมาก เขาเปิดโอกาสให้ผมลองทำ และมันทำให้การเริ่มต้นอาชีพของผมง่ายขึ้นผมไม่รู้หรอกว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่อย่างแรกที่ผมทำเลยในการเริ่มเส้นทางโค้ช คือการ “ฟัง” ฟังให้มากที่สุด และ “พูด” ให้น้อย คุณต้องฟัง ศึกษาเรียนรู้ความคิด ขั้นตอนการทำงานว่าโค้ชต้องการอะไรบ้าง บางอย่างมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการในการซ้อมปกติ และเราต้องนำไปถ่ายทอดต่อให้กับผู้เล่น ซึ่งผมค่อนข้างได้รับการต้อนรับที่ดี เริ่มต้นการสร้างความเชื่อมั่นของพวกเขาในคำพูดของผม ว่าทำไมผมถึงบอกให้เขาทำแบบนั้น ซ้อมแบบนี้ไปเพื่ออะไร แน่นอนหน้าที่หลักคือการสนับสนุนการทำงานของโค้ช และทำให้พวกเขาเป็นนักเตะที่ดีขึ้นกว่าเดิม”

 

     “เรามีการหมุนเวียนหน้าที่ไปในหลากหลาย เพื่อเข้าใจการทำงานของโค้ช และหน้าที่ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง เจอกับสื่อ พวกเขาทำงานอย่างไร แต่พอมาถึงตอนนี้ผมก็ชินแล้ว แน่นอนตอนเริ่มมันก็ยาก ปีแรกของการทำงานมันไม่ง่ายเลย แต่มันก็สอนให้ผมเข้าใจอย่างชัดเจน การมีทีมงานรอบตัวช่วยจัดเตรียมการซ้อมอะไรบ้าง เป้าหมายที่เราต้องการ การประชุมเตรียมทีม ตัดสินใจเลือกทีม ทุกอย่างผมมีอยู่ในหัวทั้งหมด และเป้าหมายคือการเป็นทีมที่ดีที่สุดในลีก และมันยอดเยี่ยมที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม”

สามปีผ่านไปกับการทำงานที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้

     สามปีผ่านไปกับการทำงานที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาร์เตต้า เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมาย เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดแชมป์พรีเมียร์ ลีกหลายสมัย และหนึ่งในนั้นคือทีมชุด “4 แชมป์ถ้วน” กับการคว้าแชมป์ในทุกรายการแข่งในประเทศในฤดูกาล 2018-2019 ในขณะที่ตัวเขาก็ได้รับการจับตามองว่าเมื่อไร เขาจะเดินออกมาจากใต้ปีกของกวาร์ดิโอล่า และมุ่งหน้าสู่งานโค้ช ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2019

 

     “ผมค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่เข้ามาเรียนงานโค้ชแล้วว่าผมต้องการเป็นผู้จัดการทีมในอนาคต คำถามมันคือเมื่อไรเท่านั้น ผมไม่คิดหรอกว่ามันจะมีคำว่าพร้อมในการก้าวไปรับงาน และไม่ได้คิดด้วยว่าก้าวที่ผมเดินออกไปคืออาร์เซนอล เหมือนคุณกระโดดลงสระน้ำและมีฝูงฉลามรออยู่ ผมอายุน้อยมากในตอนนั้น (อายุ 37 ปีในวันที่รับงาน) ทุกอย่างต้องผ่านการทดสอบ และพิสูจน์ตัวเองนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น”

 

     “ด้วยขนาดของสโมสรอาร์เซนอลและยังเป็นการรับงานในช่วงกลางฤดูกาลในบรรยากาศที่มันยากมาก และผมไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมมาก่อนเลย ในวันนั้นเจ้าของทีม เอดู รวมถึง วิไน เวนกาเทสเซม *นั่งคุยกับผมเพื่อโน้มน้าวให้ผมมารับงานนี้ แน่นอนผมค่อนข้างกังวลมาก แต่การพูดคุยก็ค่อนข้างอธิบายถึงการสนับสนุนที่ผมจะได้รับ”

 

     *ในช่วงการเซ็นสัญญากับอาร์เตต้า เป็นช่วงที่อาร์เซนอลลงเล่นพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยมีการระบุว่าตัวแทนสโมสรอาร์เซนอลได้เดินทางไปพูดคุยกับ อาร์เตต้า หลังจบเกมนี้เพื่อให้เขามารับงานที่อาร์เซนอล

 

     “การได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 2020 มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ผมเพิ่งเข้ามารับงานได้ไม่นานนัก โควิด-19 ก็มาถึง และมันทำให้ทุกอย่างในการทำงานยากขึ้นไปอีกหลายเท่า การได้แชมป์นั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำ”

 

     แน่นอนหลังการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ อาร์เตต้า ถูกคาดหวังมากขึ้นในฤดูกาลต่อมาว่าทีมจะสามารถต่อยอดความสำเร็จได้อีกระดับ แต่แล้วทุกอย่างกลับตาลปัตร ทีมจบด้วยอันดับ 8 ในลีก ไม่ได้เล่นในฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกนับจากปี 1995 ขณะที่ อาร์เตต้า มีช่วงที่ไม่สามารถพาทีมชนะได้ต่อเนื่องหลายเกม และถูกกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งภายใต้ #ArtetaOut

 

     “มันยากมากกับการรับมือในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราผ่านช่วงเวลาที่ยากมากจากการระบาดของโควิด-19 มันสร้างปัญหาให้เราหลายเรื่อง และยังมีเรื่องอื่นภายนอก แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากผมยังรู้สึกถึงการได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของสโมสร จากเอดู กาสปาร์ และจากทุกคนในสโมสร ส่วนหนึ่งผมเชื่อว่ามาจากที่ผมทำงานชัดเจนในการทำงานตัวเอง มองความเป็นจริง มองทีม มองผู้เล่นในทีมตรงไปตรงมา และนั่นทำให้ผมคิดว่ามันทำให้ผมได้รับความเชื่อมั่น ฤดูกาลนั้นสอนผมเยอะมาก ผมคิดว่าทุกเรื่องแย่ ๆ ยาก ๆ น่าจะเจอหมดแล้ว มันตอกย้ำถึงความสำคัญของคนรอบข้าง คนที่ใช้ทั้งในแง่ของคนหนึ่งคน และในความเป็นมืออาชีพ ที่สำคัญคือเรื่องของความเชื่อมั่นสิ่งที่ตนเองกำลังทำ การฟังความเห็นภายนอกเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมากเกินไปในบางครั้งจะส่งผลต่อความเชื่อในการทำงานของตนเอง”

 

     “ผมมีแผนการทำงานกับสโมสรทั้งหมด 5 ระดับ ทุกระดับคือการไต่ขึ้นไปตามเป้าหมาย เราจะท้าชนกับทุกทีมที่เหลือโลกได้อย่างไร และเราอยู่ในเส้นทางที่เรากำลังเดินไปข้างหน้า”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

Ads ทีเด็ด บอล เต็ง วันนี้ ฟุตบอล วันนี้