ufabet ทีเด็ด บอล วันนี้ ราคา บอล

มาราโดน่า…ในความทรงจำ

     ดิเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า ทำให้ข่าวฟุตบอลในวันนี้ที่เหลือ กลายเป็นเรื่องรองลงไปทันที รวมถึงข่าวที่ ลิเวอร์พูล แพ้คาบ้านต่อ อตาลันต้า ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ใน แอนฟิลด์ เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน [ครั้งสุดท้าย แพ้ แอตเลติโก มาดริด มีนาคม 2020 ก่อนที่ โควิด-19 จะระบาดหนัก]

     เพราะนอกจากการไปจากของชีวิตหนึ่งชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าแล้ว ดิเอโก้ มาราโดน่า เป็นมากกว่านั้น สำหรับใครหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือผู้เขียนเอง และบทความนี้อยากขอพื้นที่ในการอุทิศให้กับเขาคนนี้ สักหนึ่งบทความ

     ผมเติบโตในช่วงทศวรรษที่ 80 ช่วงที่ผมเกิด มาราโดน่า เพิ่งออกจากอเมริกาใต้ ตัดสินใจไปค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า ส่วนผมเวลานั้น ร้องไห้อย่างเดียว เพราะเพิ่งเกิดมาไม่กี่วัน

     คนส่วนมากอาจจำภาพ มาราโดน่า กับฟุตบอลโลก 1986 กันได้ หรือบางคนตามดูในยูทู หรืออะไรก็ตามแต่ แต่สำหรับผม จำความอะไรแทบไม่ได้เลย ตอน มาราโดน่า พา อาร์เจนติน่า เอาชนะ อังกฤษ พร้อมกับ “Hand of God” อันลือลั่นของเขา เช่นเดียวกับการพา “ฟ้า-ขาว” เป็นแชมป์โลกใน ฟุตบอลโลก 1986 ด้วยการเอาชนะทีมชาติเยอรมันตะวันตก ในรอบชิงชนะเลิศ  ตอนนั้นผมเพิ่งกำลังจะเข้าเตรียมอนุบาล

     แต่สำหรับคนรุ่นผม เรามีโอกาสได้ดูเขาในช่วงยุคกลางค่อนไปปลายอาชีพกันแล้ว อย่างตัวผมเอง กว่าจะรู้จักว่าใครคือ ดิเอโก้ มาราโดน่า ก็ต้องรอจนถึงปี 1989 ผมเปิดเจอในหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ที่ญาติคนหนึ่งซื้อมาอ่าน เราก็เปิดไปเรื่อยจนเจอกับ ชื่อของเขา พร้อมกับข้อความประมาณว่า “มาราโดน่าสุดยอด นาโปลีซิวแชมป์” นั่นคือครั้งแรกที่ผมรู้จักกับเขา ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมา ผมจะได้ดูฟุตบอลโลก 1990 ภาพจำของผมกับ มาราโดน่า ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างชัดเจน

สมัยฟุตบอลโลก 1990

     สมัยก่อน ฟุตบอลโลก ยังไม่มีการถ่ายทอดสดกันเป็นระบบมากเท่าไร แต่ก็มีให้เรา คนไทยได้ดูกันจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ส่วนเพลง “To Be Number One” ก็ดังไปทั่ว โลกของผมส่วนใหญ่ในวัยไม่ถึง 10 ปี คือ บ้าน – ตลาดแถวบ้าน – ซอยข้างบ้านที่เตะฟุตบอลกับเพื่อน และก็โรงเรียน ทุกที่เปิดเพลงนี้ให้ได้ฟังอยู่ตลอดเดือนแห่งฟุตบอลโลก

     ฟุตบอลโลก 1990 รอบสุดท้าย สมัยนั้นยังมีเพียง 24 ทีมเท่านั้น มาราโดน่า ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด การมาเล่นใน อิตาลี ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังถึงขีดสุด ทุกทีมที่เจอ อาร์เจนติน่า “จับตาย มาราโดน่า” แต่ก็เอาไม่อยู่ มาราโดน่า ในฐานะกัปตันทีม พาทีมมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ได้แบบที่ต้องดวลถึงจุดโทษตัดสินมาตั้งแต่รอบแปดทีมสุดท้าย เข้ามาป้องกันแชมป์จนได้

     ผมตื่นมาดูเกมรอบชิงชนะเลิศได้ เพราะพ่อปลุกขึ้นมาดูบอกว่า “บอลโลกนัดชิงมาแล้ว ต้องดูของแบบนี้ 4 ปีมีครั้ง” ในวันนั้นผมจำอะไรไม่ค่อยได้นัก แต่จำได้ว่าเกมน่าเบื่อมาก (พอโตมามานั่งดูแบบเต็มเกมอีกรอบ เออ! มันน่าเบื่อจริงนั่นละ) สุดท้าย เยอรมันตะวันตก ได้จุดโทษท้ายเกมเอาชนะคว้าแชมป์โลกไปครอง ส่วน อาร์เจนติน่า โดนสองใบแดงในเกมนั้น  จบเกม มาราโดน่า ร้องไห้อย่างไม่อายใคร ในขณะที่ เยอรมันตะวันตก เฉลิมฉลองยกใหญ่ กับการล้างแค้นได้สำเร็จ

ภาพจำของเด็กคนหนึ่ง กับ มาราโดน่า คือภาพนั้น และยังติดในใจจนถึงวันนี้

มีทั้งข่าวดีและไม่ดี การใช้ชีวิตสุดโต่ง

     วันต่อมา ผมกลับไปเล่นบอลแถวบ้าน ทุกคนต่างยกตัวเองเป็น นักเตะ ที่ชอบส่วนมากก็จะเป็น นักเตะเยอรมันตะวันตก เพราะเพิ่งได้แชมป์โลกมา บ้างก็บอกตัวเองคือ โฟลเลอร์ บ้างก็บอก คลิ้นส์มันน์  มีผมคนเดียวบอก “กูคือ มาราโดน่า” เพื่อนล้อกันใหญ่ บอกว่าเพิ่งแพ้มานะ แพ้ตั้งแต่เลือกตัวละครแล้ว แต่สำหรับผม มาราโดน่า ถ้าไม่ใช่ นักเตะ ที่เก่งที่สุด ก็เป็นนักเตะ ที่พิเศษที่สุดกว่าใครในโลกนี้

     วันเวลาผ่านไป สังคมในต้นยุค 90 ยังไม่มีสังคมออนไลน์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากโทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ แต่ก็มากพอทำให้ทราบว่าชีวิตของเขาย่ำแย่ กับการติดโคเคน และต้องโดนแบนหลายเดือน (โตมาจึงรู้ว่านาน 15 เดือน) ก่อนจะกลับมาได้ และทันติดทีมชาติในฟุตบอลโลก 1994 มาราโดน่า กลับมาเล่นทีมชาติอีกครั้ง ภาพที่เขาฉลองประตูวิ่งเข้ามาหากล้องตอนยิงประตูกรีซได้ ยังคงอยู่ในความทรงจำ ก่อนที่ต่อมาเขาจะโดนแบนออกจากฟุตบอลโลกครั้งนั้น หลังฟีฟ่า จับตรวจโด๊ปและตรวจพบสารต้องห้าม

     หลังจากนั้น มาราโดน่า ก็มีข่าวไม่ดีเรื่อยมา ทั้งใน และนอกสนาม เขาเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพในช่วงปี 1997 กับสโมสร โบค่า จูเนียร์ส ก่อนที่จะห่างหายจากวงการไปพักใหญ่ เพราะเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีน้ำหนักมากกว่า 120 กิโลกรัม ตัวใหญ่มาก จนถึงขั้นต้องผ่าตัดลดกระเพาะ เพื่อช่วยชีวิตมาแล้ว รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของโรคหัวใจ และอีกหลายโรคที่ตามมามากมาย ในทางกลับกัน เขาก็ยังคงใช้ชีวิตแบบสุดโต่งเรื่อยมา ตามข่าวที่ออกมาเรื่อยๆ บางทีก็ไปโผล่สนามนั้น สนามนี้ แต่ทุกที่ๆ เขาไป ใครก็อยากเจอเขา ใครก็อยากถ่ายภาพกับเขา ไม่เว้นแม้แต่ นักฟุตบอลอาชีพชื่อดังหลายคน ที่เหมือนเป็นเด็กเจอคนดังที่ตัวเองชื่นชอบ เป็นภาพที่ “คนไกล” อย่างผมได้แต่มองด้วยความอิจฉา และหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้เจอเขาบ้างสักครั้ง

ที่สุดของวงการฟุตบอล

     ผม กับ มาราโดน่า เติบโตตามวันเวลาที่เปลี่ยนไป ผมได้เห็นเขากลับมาคุมทีมชาติอาร์เจนติน่า ได้เห็นเขาทำงานร่วมกับ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ใครก็บอกคือ มาราโดน่าคนใหม่ คือคนที่จะทาบรัศมีของเขา แต่สำหรับผมแล้ว มาราโดน่า และ เมสซี่ คือคนละคน และไม่มีใครต้องเป็น “คนใหม่” ของอีกคน ได้เห็นเขาในฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ที่ต้องบอกว่าน่าจะเป็นเพียงชาติเดียวที่ ผู้จัดการทีม ดังกว่า นักเตะแทบทั้งทีม

     สองสัปดาห์ก่อนหน้าจะเสียชีวิต เขาต้องผ่าตัดเข้าโรงพยาบาล ผมได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ปลอดภัย แต่สุดท้ายแล้ว พระเจ้าตัวจริง ก็พราก พระเจ้าลูกหนัง ที่หลายคนมอบสมญานามนี้ให้จากโลกนี้ไป  พร้อมกับความฝันของผมที่อยากเจอเขาสักครั้งด้วย

เสียดาย เสียใจ แต่เข้าใจในวัฏจักรของชีวิต แค่รู้สึกว่ามันเร็วเกินไปเสียหน่อยเท่านั้น

     วันนี้ ผมในฐานะแฟนบอลที่เกิดมาทันได้เห็น ความยิ่งใหญ่ของเขา ในยุคสมัยที่เขาคือ “ที่สุดของวงการฟุตบอล” ทำได้แค่เพียงเป็นหนึ่งใน แฟนบอลหลายล้านคน เขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงเขา

     ขอบคุณสำหรับความสนุกสนาน ความน่าตื่นเต้น บนสนามฟุตบอล ขอบคุณความทรงจำที่มอบให้ในวัยเด็ก คุณจะอยู่ในหัวใจของผม และแฟนบอลทั่วโลกตลอดไป

 

Adios Diego…ลาก่อน ดิเอโก้

Ads ทีเด็ด บอล เต็ง วันนี้ ฟุตบอล วันนี้