ufabet ทีเด็ด บอล วันนี้ ราคา บอล

นีซ – มาร์กเซย์ : เมื่อ อารมณ์ อยู่เหนือทุกสิ่ง

     เกม ลีก เอิง ฝรั่งเศส เมื่อวานนี้มีการแข่งขันหนึ่งเกม แต่กลายเป็นประเด็นใหญ่ในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะในฝรั่งเศส เมื่อเกมระหว่าง นีซ พบกับ โอลิมปิก มาร์กเซย์ จบลงแบบยุติการแข่งขันในช่วงประมาณ 15 นาทีสุดท้าย หลังมีความสับสนวุ่นวาย ในจังหวะที่ มาร์กเซย์ ได้เตะมุม และแฟนบอล นีซ บริเวณนั้นมีการขว้างปาสิ่งของลงมา หนึ่งในนั้นที่ชัดเจนคือ “ขวดน้ำ” และมันไปโดน ดิมิทรี ปาเยต์ (34 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) จอมทัพคนสำคัญของ โอแอม

 

     เจ้าตัวลงไปนอนล้มกับพื้น ก่อนที่จะตามมาด้วย ขวดน้ำ “ขวดที่สอง” และสิ่งของอีกหลายอย่างตามลงมา และแน่นอน ถึงเวลานั้น นักเตะ หลายคนพยายามจะเข้าไปห้ามทั้งแฟนบอล และตัว ปาเยต์ โดยเฉพาะ ดานเต้ คือคนสุดท้ายที่พยายามดึง ปาเยต์ ไว้แต่ก็ไม่ทัน เจ้าตัว ลุกขึ้นมาด่าทอแฟนลอล พร้อมกับปาขวดกลับคืนไปยังกลุ่มแฟนบอล นีซ และหลังจากนั้น ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น

 

     แฟนบอล นีซ หลายสิบคนคนกรูลงมาข้างสนาม พร้อมปะทะกับ อารมณ์ นักเตะ มาร์กเซย์ ที่ก็ไม่พอใจที่เพื่อนร่วมทีม โดนปฏิบัติเช่นนี้ หน่วยรักษาความปลอดภัยก็วิ่งเข้ามากรูจะคอยกัน แต่ไม่มีการควบคุมใดได้ แฟนบอลหลายสิบคน กรูลงมาในสนามเรียบร้อย

เมื่ออารมณ์มาเต็มด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่ห้ามก็ต้องมีได้เลือดกัน

     ปากด่า เท้าก้าวเดิน มือพร้อมปัดป่าย ทุกอย่างข้างหน้าเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย เมื่ออารมณ์มาเต็มด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่ห้ามก็ต้องมีได้เลือดกันก่อนถึงจะหยุด ร้อนไปจนถึง ฌอง-ปิแอร์ ริแวร์ ประธานสโมสรนีซ ต้องลงไปในสนามเพื่อขอร้อง เพื่อไม่ให้บานปลายไปมากกว่านี้ สุดท้ายแล้ว หน่วยรักษาความปลอดภัย และฝ่ายจัดคุมสถานการณ์ไว้ได้ แต่กว่าจะถึงจุดนั้นก็มีปัญหา และของที่ระลึกกันติดตัวมากันคนละเล็ก คนละน้อย และนำมาซึ่งเหตุการณ์ต่อมา

 

     นักเตะทั้งสองทีมถูกส่งเข้าไปในห้องแต่งตัว และตัวแทนของทั้งสองสโมสร รวมถึงฝ่ายจัดมีการพูดคุยกัน ก่อนที่ โอลิมปิก มาร์กเซย์ ตัดสินใจไม่ส่งทีมลงเล่นในช่วงเวลาที่เหลือ เนื่องจากให้เหตุผลว่า นักเตะ ของพวกเขาโดนทำร้าย และนั่นคือความไม่ปลอดภัยที่จะเกิดขึ้นได้ หากลงทำการแข่งขันต่อไป

 

     “หากเราตีเสมอได้ในช่วงเวลาที่เหลือ เราจะได้ออกจากสนามหรือเปล่า หรือต่อให้ลงเล่นต่อไป เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า นักเตะ มาร์กเซย์ จะไม่ถูกทำร้าย ผมเลือกตัดสินใจนี้ บนพื้นฐานของการยอมรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น เพื่อปกป้องนักเตะทุกคน ผมยอมรับว่า ฟุตบอล มันเป็นเกมการแข่งขันที่สนุก และก็เต็มไปด้วยแรงกดดันมากมาย แต่ผมไม่มีวันยอมรับได้ที่จู่ ๆ จะมีแฟนบอลจะลงมาในสนาม โดยมีเป้าหมายคือการทำร้ายผู้เล่น ผมไม่มีวันยอมรับในเรื่องนี้” ปาโบล ลองโกเรีย ประธานสโมสรโอแอม กล่าว

 

     ดิมิทรี ปาเยต์, มัตเตโอ เกวนดูซี่ และ ลวน เปเรส ทั้งสามคนมีภาพหลักฐานว่าโดนทำร้าย โดยสองรายหลังมีรอยแดงที่คอซึ่งระบุว่าเกิดจากการโดนแฟนบอล นีซ ลงมาแล้วทำการกระชากคอ ทั้งสองคน ซึ่งอยู่ด้านหน้าในจังหวะความวุ่นวาย แต่ไม่ใช่เพียงแค่ โอแอม ทีมเดียวที่โดน เพราะ นักเตะ นีซ รวมถึงแฟนบอลของ นีซ ก็ได้รับบาดเจ็บตาม ๆ กันไป จากจังหวะชุลมุนที่เกิดขึ้นเช่นกัน และเรื่องนี้ก็จะไม่จบแค่นี้แน่นอน เพราะ นีซ ก็ออกมาแถลงเช่นกันว่า โอแอม เองก็มีส่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

จุดเปลี่ยนของเรื่อง

     “จุดเปลี่ยนของเรื่องคือการขาดทัศนคติการยั้งคิดของ นักเตะ โอแอม กับสิ่งที่พวกเขาทำออกไป มีแฟนบอลของเราโดนทำร้าย และนักเตะของเราทั้ง จัสติน ไคลเวิร์ต และ ฌอง-แคลร์ โตดิโบ ก็โดนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโอแอม ทำร้ายเช่นกัน นี่ยังไม่รวมถึงการพูดจายั่วยุที่เกิดขึ้นอีกด้วย” ฌอง-ปิแอร์ ริแวร์ ประธานสโมสรนีซ กล่าว

 

     ในแง่ของเกมการแข่งขัน ลีก เอิง ประกาศยุติการแข่งขัน แต่ยังไม่มีการระบุว่า ผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร เป็นไปได้หลายทางไม่ว่าจะเป็น แข่งต่อในช่วงเวลาที่เหลืออีกประมาณ 15 นาที หรืออาจถึงขั้นปรับให้ โอแอม แพ้ 3-0 โทษฐานไม่ลงไปทำการแข่งขันจนจบเกม ซึ่งก็ขึ้นกับ หลักฐาน เหตุผล และกฎข้อบังคับ ที่ลีก เอิง จะนำมาพิจารณาทั้งหมด เช่นเดียวกับเรื่องของแฟนบอลที่ก่อเรื่องก็ต้องถูกนำมาพิจารณาเช่นกัน โดยรายงานจาก อาร์เอมซี สปอร์ต สื่อของฝรั่งเศส มีการระบุว่า สแตนด์ฝั่งใต้ ซึ่งเป็นสแตนด์หลักของแฟนบอล นีซ อาจจะโดนสั่งแบนยาวถึง 4 เกม กับเหตุการณ์ครั้งนี้

 

     อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในลักษณะนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกของ มาร์กเซย์ สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาเอาชนะ มงต์เปลิเยร์ ในเกมเปิดสนามลีก เอิง นักเตะ ของ โอแอม ก็โดนปาขวดลงมาในสนามมาแล้ว แต่เกมนั้นจบด้วยการแข่งจนจบ พร้อมกับ สามคะแนนของโอแอม

 

     ขณะที่ทางด้านของกลุ่มแฟนบอลโอแอม “South Winners 1987” ก็ออกมาทวิตเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัยภายในสนาม หลังจากที่ นักเตะทีมของพวกเขาโดนเหตุการณ์นี้มาแล้วถึงสองครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องของการอนุญาตนำสิ่งของที่พร้อมจะกลายเป็นอาวุธ เข้าสู่สนาม และพร้อมสนับสนุนเต็ม 100 % กับการตัดสินใจของทีม ในการเลือกที่จะไม่ลงเล่นต่อในเกมนี้ ด้วยเหตุผลเรื่องของความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า นอกสนามก็มีการปะทะกันของแฟนบอลทั้งสองกลุ่มอีกด้วย

 

     นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น และก็ยังคงเกิดขึ้นสำหรับวงการฟุตบอล กับเรื่องราวของการ เหยียด และหนักไปจนถึงคุกคามทำร้ายร่างกาย ซึ่งทุกลีก ต้องมีมาตรฐานใหญ่ออกมารองรับในจุดนี้ เพื่อความปลอดภัยของ นักกีฬา ทีผ่านมา เรื่องของการรณรงค์การเหยียดผิว, เพศสภาพ หรือการ บูลลี่ ที่หลายประเทศทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ผลที่ออกมายัง “เบาหวิว” ในเรื่องของการใช้มาตรการที่เด็ดขาดกับกลุ่มแฟนบอล ที่ยังคงสนุกปาก และสะใจไปตามอารมณ์จนเกิดขอบเขต

“เราไม่สามารถควบคุมใครได้ 100 % แม้คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่เรารัก"

     ที่ผ่านมา นักเตะ มากมายต้องต่อสู้กับ การโดนดูถูกเหยียดหยามในเรื่องของความสามารถ ผลงาน ส่วนตัว และของทีมมากเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในระยะหลังเรื่องของการพูดถึงครอบครัว อันหมายถึง บุพการี และลูกของนักเตะ กลายเป็นเรื่องยอดนิยมในการที่จะหาใครสักคนมาเป็นเหยื่ออารมณ์ เมื่อทีมที่เชียร์ นักเตะในทีม ทำอะไรไม่ถูกใจสักเรื่อง บ่อยครั้งก็มักจะจบด้วยการเหยียด เพื่อให้โลกรู้ว่า “กูเกลียดมัน โลกรู้ไว้ด้วย กูเกลียดมัน”

 

     การเข้ามาของสังคมออนไลน์ ยิ่งเหมือนการยื่นอาวุธใหม่ให้กับ แฟนบอล เลือดร้อน ที่พร้อมจะบรรเลงทุกอย่างลงไปในโลกออนไลน์ และเมื่อกลับมาสู่ในสนามจริง แนวคิด ความเกลียดชัง ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

 

     หาก “ฟุตบอลลีก” ยังไม่มีความแข็งแรงในเรื่องของการควบคุมในส่วนนี้ จะมี นักเตะ อีกมากที่โดนกระทำเกินขอบเขตเช่นนี้ต่อไป จริงอยู่ แฟนบอลคือคนสำคัญของสโมสร คือหนึ่งในปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนสโมสรไปข้างหน้า แต่หากแฟนบอลสร้าง “ปัญหา” ขึ้นมา แต่ลีก หรือผู้จัดการแข่งขันเลือกที่จะมองข้ามปัญหาตรงนั้น และเลือกที่จะลงโทษ นักเตะ ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หรือเหมารวมกับแฟนบอลทั้งยวง ในการกระทำของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลเพียงส่วนเดียว นี่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีเท่าไรนัก ในความเห็นของผู้เขียน หากแต่ การลงโทษสถานหนัก เพื่อให้คนเหล่านั้น ออกจากพื้นที่แห่งความสุขอย่างสนามฟุตบอลไปเลย ก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ

 

     “เราไม่สามารถควบคุมใครได้ 100 % แม้คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่เรารัก และเขารักเรามากแค่ไหนก็ตาม” แต่สิ่งที่สังคม ในทุกสังคมทำได้คือ “กฎแห่งการอยู่ร่วมกัน” ถ้าไม่มีสิ่งนี้แล้ว สังคมก็ยิ่งจะทวีความเน่าเฟะ และเลวร้ายยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

 

     เราไม่หวังว่าเหตุการณ์ในเกมของ นีซ – มาร์กเซย์ จะเป็นเหตุการณ์สุดท้าย เพราะมันจะเกิดขึ้นอีกแน่นอน แต่เราคาดหวังเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกฎข้อบังคับ และบทลงโทษที่ชัดเจนยิ่งกว่านี้ จากวงการฟุตบอล มากกว่าแค่จะมานั่งคุกเข่า, ติดอาร์มข้างแขน หรือโฆษณาไปทั่วสนาม ว่าอย่าทำอย่างนั้น ไม่ควรทำอย่างนี้ เพียงอย่างเดียว เพราะที่ผ่านมามันก็เห็นแล้วว่า มันไม่เคยได้ผลในชีวิตจริงที่เป็นอยู่เลย

 

อดเข้าสนามกันมาเป็นปี อยากเชียร์บอลกันในสนามใจแทบขาด สุดท้ายเกมต้องจบลงแบบนี้ กับเรื่องแบบนี้

 

“ช่างน่าเสียดายเวลาเหลือเกิน”

Ads ทีเด็ด บอล เต็ง วันนี้ ฟุตบอล วันนี้